แนะนำวิธีถนอมสายตา เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดีขึ้น
การดูแลดวงตาอาจไม่ใช่สิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ผู้คนมักละเลยการดูแลสุขภาพดวงตา ลองนึกดูว่าดวงตาของเราทำงานหนักมากแค่ไหนตลอดทั้งวัน ตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ การทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงเมื่อการหลับตาในตอนกลางคืน การถนอมสายตาเป็นสิ่งสำคัญมาก เราจะให้คำแนะนำง่าย ๆ ในการดูแลสายตาที่ทุกคนทำได้ ตั้งแต่การใช้วิตามินบำรุงสายตา ไปจนถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
แนวทางถนอมสายตาแบบง่าย ๆ แต่ได้ผลจริง
1. ถอดคอนแทคเลนส์ก่อนอาบน้ำ หรือว่ายน้ำ
ผู้ใส่คอนแทคเลนส์หลายคนไม่ทราบว่าพวกเขาไม่ควรปล่อยให้เลนส์เปียกน้ำ โดยทั่วไปแล้ว คอนแทคเลนส์ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับฟองน้ำ ศัลยแพทย์ตา Beeran Meghpara แห่งโรงพยาบาล Will Eye กล่าวว่า การสวมคอนแทคเลนส์ขณะอาบน้ำและขณะว่ายน้ำอาจทำให้ดวงตาสัมผัสกับแบคทีเรียและปรสิตได้ สิ่งเหล่านี้ซึมเข้าสู่เลนส์ของเราได้” เชื้อก่อโรคบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา หรือติดเชื้อที่ดวงตาได้ แต่บางชนิดอาจร้ายแรงกว่านั้น
หนึ่งในเชื้อโรคนั้นคือ Acanthamoeba ซึ่งเป็นปรสิตที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบและมหาสมุทร ทำให้เกิดการติดเชื้อที่เรียกว่า Acanthamoeba keratitis เป็นการติดเชื้อของกระจกตาที่อาจทำให้เกิดอาการปวดตา ตาแดง ตาพร่ามัว ไวต่อแสง น้ำตาไหลมากเกินไป และรู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่ในดวงตา ตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด Acanthamoeba Keratitis อาจทำให้ตาบอดได้ มาถึงตอนนี้ที่วิตามินบำรุงสายตา และยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ ก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว แม้ว่าโรคชนิดนี้เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงสำหรับคนที่ชอบใส่คอนแทคเลนส์ในน้ำ (แหล่งที่มา)
2. สวมแว่นตานิรภัยทุกครั้งเมื่อทำงานช่าง
การสวมแว่นตานิรภัยทุกครั้งเมื่อใช้อุปกรณ์ช่าง ตัดหญ้า และกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาของเราได้ การป้องกันดวงตามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากเราทำงานกับเครื่องมือช่าง ในทุก ๆ วัน มีคนงานประมาณ 2,000 คนในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาที่เกี่ยวข้องกับงานช่าง ซึ่งต้องได้รับการรักษาพยาบาล ตามรายงานของสถาบันแห่งชาติเพื่อความปลอดภัยและอาชีวอนามัย การศึกษาจาก American Optometric Association เปิดเผยว่า การสวมแว่นตานิรภัยสามารถป้องกันการบาดเจ็บเหล่านี้ได้ประมาณ 90% (แหล่งที่มา)
3. พบจักษุแพทย์อย่างน้อยทุก ๆ สองปี
การไปหาจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาทุกสองปี นั่นคือความถี่ที่ American Optometric Association แนะนำให้ผู้ใหญ่อายุระหว่าง 18 ถึง 60 ปีเข้ารับการตรวจสายตา Tatevik Movsisyan ผู้ช่วยศาสตราจารย์คลินิกด้านการดูแลดวงตาขั้นสูงและคลินิกการดูแลเบื้องต้นที่วิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตทกล่าวว่า “สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ ต้องมีการตรวจตาอย่างครอบคลุมอย่างน้อยทุกปีเว้นปี”
แม้ว่าเราจะคิดว่าสายตาของเรามองเห็นได้ชัดดีอยู่แล้ว จากการตรวจตาเป็นประจำช่วยตรวจสอบโรคตาและอาการต่าง ๆ ที่อาจไม่มีอาการให้เห็นในระยะแรกได้ เช่น ต้อหิน คำแนะนำของ James Khodabakhsh หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยาที่ Cedars Sinai Medical Center และผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของ Beverly Hills Institute of Ophthalmology กล่าวว่า โรคต้อหินเป็นกลุ่มอาการทางตาที่อาจทำให้ตาบอดได้ แต่การตรวจพบแต่เนิ่น ๆ ทำให้ป้องกันตาบอดได้ พบจักษุแพทย์ทุกปีเว้นปี หรือบ่อยกว่านั้นหากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคเกี่ยวกับดวงตา (แหล่งที่มา)
4. ปรนนิบัติดวงตาและเปลือกตาด้วยการประคบอุ่นทุกวัน
เปลือกตาของมนุษย์มีต่อม Meibomian ที่ทำหน้าที่เป็นตัวปั๊มน้ำมันลงบนผิวเปลือกตา และสร้างแผ่นซับน้ำตาที่แข็งแรง แต่เมื่ออายุมากขึ้น ต่อมเหล่านี้จะไม่สูบฉีดน้ำมันมากเท่าที่เคยเป็น หากเปลือกตาไม่มีการสูบฉีดน้ำมันเพียงพอ อาจทำให้เกิดตาแห้งหรือเปลือกตาอักเสบได้ ศัลยแพทย์ตา Beeran Meghpara แนะนำว่า การถนอมสายตาด้วยการใช้ความอบอุ่นกับต่อมเหล่านั้นจะทำให้น้ำมันที่อุดตันอยู่ในนั้นนิ่มลง ทำให้ต่อมเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น ในการประคบอุ่น เพียงแค่นำขนหนูชุบน้ำอุ่น หลับตา และกดประคบกับเปลือกตาสักครู่ Muriel Schhornack นักตรวจสายตาที่ Mayo Clinic กล่าวว่า “ฉันบอกคนไข้ของฉันทุกคนว่า ถ้าคุณทำเช่นนี้ทุกวัน จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตาแห้งในภายหลังได้” (แหล่งที่มา)
5. รับประทานอาหารที่มีความสมดุล
American Optometric Association แนะนำให้เราพยายามรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่ช่วยในการถนอมสายตา สารอาหารบำรุงสายตาต่าง ๆ เช่น ลูทีนและซีแซนทีนที่พบในอาหารอย่างผักโขม คะน้า และไข่ อาจลดความเสี่ยงต่อโรคตาเรื้อรังได้ วิตามิน C ซึ่งมีอยู่ในผักและผลไม้มากมายอาจชะลอการลุกลามของการสูญเสียการมองเห็นที่เกี่ยวข้องกับอายุได้ นอกจากนี้ยังมีวิตามิน E ที่สามารถหาได้จากน้ำมันพืช ถั่ว เมล็ดพืช และผักใบเขียว อาจช่วยปกป้องเซลล์ในดวงตาจากการสลายตัวของเนื้อเยื่อ กรดไขมันโอเมก้า 3 จากแหล่งต่าง ๆ เช่น เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย วอลนัท และปลา มีความสำคัญต่อการทำงานของเรตินาที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณภาพไปยังสมอง
นอกจากนี้ยังมีสังกะสี (พบได้ในหอยนางรม สัตว์เนื้อแดง สัตว์ปีก ถั่ว ปู กุ้งก้ามกราม และอื่น ๆ) ซึ่งช่วยให้ร่างกายผลิตเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีที่คอยช่วยปกป้องดวงตา การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด หรือทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และโรคเบาหวานประเภท 2 ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางตาได้ หากรู้สึกว่าได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ แนะนำให้มองหาอาหารเสริมทางเลือกสำหรับดวงตาโดยเฉพาะ
6. สวมแว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก
ดวงอาทิตย์สามารถทำร้ายดวงตาของเราได้ แว่นกันแดดสามารถปกป้องดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสายตาต่าง ๆ เช่น ต้อลมและต้อเนื้อ (เป็นอาการของเยื่อบุตาอักเสบ เนื้อเยื่อใสที่ปกคลุมส่วนสีขาวของดวงตา) หรือภาวะกระจกตาอักเสบเรื้อรัง Muriel Schhornack นักตรวจสายตาที่ Mayo Clinic แนะนำให้มองหาแว่นกันแดดที่มีการป้องกันรังสี UVA และ UVB ประมาณ 99-100% ค่ากรองแสงประมาณ 75-100% นอกจากนี้แว่นกันแดดแบบครอบ หรือรัดรูปก็เหมาะอย่างยิ่งในการปกป้องดวงตาของเราจากทุกมุม (แหล่งที่มา)
สอบถามเพิ่มเติม / ปรึกษาฟรี
แนะนำสารอาหารหลักที่มีส่วนช่วยให้สุขภาพดวงตาแข็งแรง
วิตามินบางชนิดมีความจำเป็นสำหรับการรักษาสุขภาพตาที่ดี สารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดช่วยปกป้องดวงตา และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายจากความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชันและการอักเสบได้ การขาดวิตามินเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อดวงตาบางอย่าง เช่น ต้อกระจก ต้อหิน และโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม (AMD) การวิจัยชี้ให้เห็นว่า อาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดอาจช่วยป้องกัน ถนอมสายตา หรือชะลอการพัฒนาของโรคเหล่านี้ การรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียวไม่พอ การใช้อาหารเสริมดีคอนแทคเข้ามาช่วยก็เป็นส่วนสำคัญในการรักษาสุขภาพดวงตาและสายตา มาดูกันว่าสารอาหารเพื่อสายตาที่ดีมีอะไรบ้าง (แหล่งที่มา)
- วิตามิน A และเบต้าแคโรทีน วิตามินเออาจช่วยให้เรามองเห็นได้ในที่ที่มีแสงน้อย วิตามินเอเป็นสารอาหารที่จำเป็นเพื่อการมองเห็นที่ดี เป็นส่วนประกอบของโปรตีน Rhodopsin ซึ่งช่วยให้ตามองเห็นในสภาพแสงน้อย ตามรายงานของ American Academy of Ophthalmology การขาดวิตามินเออาจทำให้มองเห็นในตอนกลางคืนไม่ชัดได้ นอกจากนี้ วิตามินเอยังช่วยในการทำงานของกระจกตา ซึ่งป้องกันชั้นนอกของดวงตา ผู้ที่ขาดวิตามินเออาจพบว่าดวงตาของพวกเขาผลิตความชื้นน้อยเกินไป เบต้าแคโรทีนมีสารที่เรียกว่า แคโรทีนอยด์ ที่มีอยู่ในผักและผลไม้หลากสี เมื่อบริโภคแคโรทีนอยด์ ร่างกายจะเปลี่ยนสารนี้เป็นวิตามินเอ ดีคอนแทคเป็นอาหารเสริมที่มีเบต้าแคโรทีนค่อนข้างสูง (แหล่งที่มา)
- วิตามิน E อัลฟาโทโคฟีรอลเป็นรูปแบบของวิตามินอีที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สารต้านอนุมูลอิสระช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งทำลายเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย บางครั้งอนุมูลอิสระอาจทำลายโปรตีนภายในดวงตา ความเสียหายนี้อาจส่งผลให้เกิดการพัฒนาของพื้นที่ขุ่นที่เรียกว่าต้อกระจกบนเลนส์ตา แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในปี 2014 ศึกษาเกี่ยวกับการศึกษาที่เชื่อมโยงวิตามินอีกับการป้องกันโรคต้อกระจก งานวิจัยบางชิ้นพบว่าความชัดเจนของเลนส์ดีกว่าในผู้ที่ทานอาหารเสริมวิตามินอี นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันและชะลอการพัฒนาต้อกระจกได้ (แหล่งที่มา)
- วิตามิน C วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ความเสียหายจากการเกิดออกซิเดชันเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดต้อกระจก การศึกษาระยะยาวปี 2016 ได้ตรวจสอบปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจช่วยป้องกันการพัฒนาการเกิดต้อกระจก การศึกษานี้เกี่ยวข้องกับคู่แฝดหญิงมากกว่า 1,000 คู่ที่มีการบริโภควิตามินซีในช่วง 10 ปี ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่บริโภควิตามินซีมากขึ้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกลดลง 33% พวกเขายังมีการมองเห็นโดยรวมที่ชัดเจนขึ้นด้วย วิตามินซีพบได้มากในผลไม้ที่รสเปรี้ยว อาหารเสริมดีคอนแทคอุดมไปด้วยสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และแครนเบอร์รี่ (แหล่งที่มา)
- วิตามิน B การศึกษาในปี 2009 แนะนำว่า การบริโภคอาหารเสริมวิตามิน B6, B9 และ B12 อาจลดความเสี่ยงของโรคตาเสื่อมตามวัยได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาการบริโภคสารอาหารเพื่อสุขภาพดวงตาใน 2,900 คน ที่มีอายุระหว่าง 49 ถึง 97 ปี ผลการวิจัยพบว่าการบริโภคโปรตีน วิตามินเอ และวิตามินบีจำพวกไรโบฟลาวิน ไทอามีน และไนอาซิน มีโอกาสในการเกิดต้อกระจกน้อยลง อาหารเสริมบำรุงสายตามักจะมีวิตามินบีรวมอยู่ด้วย เช่นเดียวกับดีคอนแทค ซึ่งมีส่วนประกอบของวิตามิน B12 (แหล่งที่มา)
- ลูทีนและซีแซนทีน เป็นแคโรทีนอยด์ที่มีอยู่ในผักใบเขียว นอกจากนี้ยังมีอยู่ในเลนส์และเรตินาของดวงตาอีกด้วย ในฐานะที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลูทีนและซีแซนทีนอาจช่วยลดความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชันในเรตินาได้ งานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่า การรับประทานลูทีนและซีแซนทีนประมาณ 6 มิลลิกรัมต่อวันอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคตาเสื่อมได้ ดีคอนแทคเป็นอาหารเสริมบำรุงสายตาที่มีสารสกัดจากดอกดาวเรืองและใบบัวบก ซึ่งเป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นอนุพันธ์หลักของวิตามินเอ (แหล่งที่มา)
- สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่ช่วยรักษาสุขภาพของเรตินา เยื่อหุ้มเซลล์ และโครงสร้างโปรตีนของดวงตา สังกะสีช่วยให้วิตามินเอเดินทางจากตับ ไปยังเรตินาเพื่อผลิตเมลานิน เมลานินเป็นเม็ดสีที่ปกป้องดวงตาจากแสงอัลตราไวโอเลต ตามรายงานของ American Optometric Association การเสริมสังกะสีอาจช่วยผู้ที่มีภาวะตาเสื่อม หรือผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้ การรับประทานสังกะสี 40–80 มก. ต่อวัน ควบคู่ไปกับสารต้านอนุมูลอิสระบางชนิด สามารถชะลอการลุกลามของภาวะตาเสื่อมได้ 25% นอกจากนี้ยังสามารถลดโอกาสในการสูญเสียการมองเห็นได้ 19% (แหล่งที่มา)
- กรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันเหล่านี้ช่วยปกป้องเรตินาจากความเสียหายและการเสื่อมสภาพของจอตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอเมก้า 3 ช่วยลดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด รวมทั้งที่ส่งเลือดไปยังเรตินา นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า ไขมันสะสมในหลอดเลือดเหล่านี้อาจส่งผลต่อการเกิดภาวะตาเสื่อมได้ นอกจากนี้ งานวิจัยยังระบุด้วยว่า การเพิ่มปริมาณโอเมก้า 3 อาจลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตาแห้งได้ ผู้ที่เป็นโรคตาแห้งคือผู้ที่ไม่สามารถผลิตน้ำตาได้เพียงพอที่จะทำให้ตามีน้ำหล่อเลี้ยง (แหล่งที่มา)
มีหลายวิธีในการถนอมสายตาเพื่อให้ดวงตาอยู่กับเราได้นานยิ่งขึ้น ทั้งการดูแลสายตาในชีวิตประจำวัน รวมถึงการบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบำรุงสายตา แต่การบริโภคอาหารตามปกติอาจทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ อาหารเสริมจึงเข้ามาแทนที่ตรงนี้ อาหารเสริมดีคอนแทคอุดมไปด้วยสารสกัดจากเบอร์รี่หลากชนิดที่มีวิตามินซีสูงมาก นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจากใบบัวบกและดอกดาวเรือง ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น ป้องการเกิดต้อลม ต้อกระจก ต้อเนื้อ และภาวะตาเสื่อมต่าง ๆ ได้ การันตีจากผู้ใช้งานจริง
1 comment